สถาบันการเมืองการปกครอง

สถาบันทางการเมืองการปกครอง


สถาบันทางการเมืองการปกครอง  หมายถึง  สถาบันสังคมที่เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับการสนองความต้องการของสมาชิกในการดำรงชีวิตตามกฎระเบียบของสังคม ควบคุมให้กลุ่มคนอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
กลุ่มสังคมในสถาบันการเมืองการปกครอง  ประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ  ที่สำคัญ คือ กลุ่มสังคมที่มีการจัดระเบียบอย่างชัดแจ้ง ที่เรียกว่า องค์การ เช่น พรรคการเมือง กระทรวง ทบวง กรม
เป็นต้น แต่ละองค์การประกอบด้วยตำแหน่งหรือสถานภาพทางสังคม เพื่อกระทำบทบาทและหน้าที่ตามสถานภาพนั้น

องค์กรของสถาบันการเมืองที่สำคัญ


1. ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ องค์กรที่ทำหน้าที่ออกกฎหมาย
2. ฝ่ายบริหาร คือ องค์กรที่ทำหน้าที่ในการบริหารและการบริการให้แก่สมาชิกโดยส่วนรวม
3. ฝ่ายตุลาการ คือ องค์การที่ทำหน้าที่ตีความกฎหมายในกรณีที่สมาชิกในสังคมเกิดความขัดแย้งระหว่างกัน
4. ฝ่าย องค์กรอิสระ คือ องค์กรที่ประกอบด้วยคณะบุคคลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีปลอดจากอำนาจอิทธิพลของ บุคคลที่มีส่วนอาจได้เสียกับกิจการอันเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระนั้น โดยเฉพาะอำนาจของข้าราชการเมืองและข้าราชการประจำ


ลักษณะสำคัญสถาบันทางการเมืองการปกครอง


1.มีแบบแผน หมายถึง การจัดตั้งและการยอมรับในพฤติกรรมทั้งหลายขององค์การ รวมถึงกฏเกณฑ์ บรรทัดฐาน และกระบวนการต่างๆ
2.มีโครงสร้างและองค์การทางการเมืองที่คอยกำหนดรูปแบบและวิธีการในการประพฤติปฏิบัติกิจกรรมทางการเมือง
3.มีปฏิสัมพันธ์หรือการกระทำที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง หรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคล กลุ่มสมาคม หรือสังคมใหญ่ทั้งสังคม
ซึ่งสถาบันทางการเมืองของไทยที่สำคัญ ได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันฝ่ายบริหารและระบบราชการ สถาบันตุลาการ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์

ลักษณะสำคัญสถาบันทางการเมืองการปกครอง

1.มีแบบแผน หมายถึง การจัดตั้งและการยอมรับในพฤติกรรมทั้งหลายขององค์การ รวมถึง กฏเกณฑ์ บรรทัดฐาน และกระบวนการต่างๆ
2.มีโครงสร้างและองค์การทางการเมืองที่คอยกำหนดรูปแบบและวิธีการในการประพฤติปฏิบัติกิจกรรมทางการเมือง
3.มีปฏิสัมพันธ์หรือการกระทำที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง หรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคล กลุ่มสมาคม หรือสังคมใหญ่ทั้งสังคม
ซึ่งสถาบันทางการเมืองของไทยที่สำคัญ ได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันฝ่ายบริหารและระบบราชการ สถาบันตุลาการ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์

ลักษณะสำคัญสถาบันทางการเมืองการปกครอง


1.มีแบบแผนหมายถึงการจัดตั้งและการยอมรับในพฤติกรรมทั้งหลายขององค์การรวมถึงกฏเกณฑ์ บรรทัดฐาน และกระบวนการต่างๆ
2.มีโครงสร้างและองค์การทางการเมืองที่คอยกำหนดรูปแบบและวิธีการในการประพฤติปฏิบัติกิจกรรมทางการเมือง
3.มีปฏิสัมพันธ์หรือการกระทำที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองหรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคลกลุ่มสมาคม หรือสังคมใหญ่ทั้งสังคม
ซึ่งสถาบันทางการเมืองของไทยที่สำคัญ ได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันฝ่ายบริหารและระบบราชการ สถาบันตุลาการ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์

หน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครอง

สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้แก่สังคม เช่น สถาบันเศรษฐกิจย่อมจะต้องมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเงิน
วินิจฉัยข้อขัดแย้งระหว่างสมาชิกในสังคม มีองค์การทางตุลาการคอยให้ความยุติธรรม
แก่สมาชิกมีความขัดแย้งต่อกัน การป้องกันและรักษาความปลอดภัยทั้งภายในสังคมและจากภายนอกสังคม


การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง


 การยอมทำสนธิสัญญาเสียเปรียบ คือ สนธิสัญญาเบาริง ทำกับประเทศอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 4 แม้จะทรงทราบดีว่าเสียเปรียบ แต่ก็พยายามให้เสียเปรียบให้น้อยที่สุดการยอมเสียดินแดน รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ทรงทราบดีถึงวิธีการเข้าครอบครองดินแดนไว้เป็นอาณานิคมของชาวตะวันตก เช่น ขั้นแรกจะเน้นเข้ามาค้าขายหรือเผยแพร่ศาสนาก่อนแล้วภายหลังก็จะอ้างถึงข้อขัดแย้งหรือขอสิทธิพิเศษ(เช่นขอเช่าเมือง,แทรกแซงกิจการ ภายในประเทศ) ขั้นต่อไปก็จะส่งกำลังทหารเข้ายึด อ้างว่าเพื่อคุ้มครองคนของตนให้ปลอดภัยหรือเพื่อเป็นหลักประกันให้ปฏิบัติตามสัญญาขั้นสุดท้ายก็ใช้กำลังเข้ายึดเพื่อเอาเป็นดินแดนอาณานิคมโดยอ้างข้อพิพาทต่างๆ(กรณีอังกฤษยึดพม่า)ด้วยพระปรีชาสามารถในการหยั่งรู้ความคิดนี้ ทำให้พระองค์สามารถประคับ ประครองให้ชาติไทยพ้นจากการถูกยึดครองของชาวตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการเสียสละดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ของชาติเอาไว้ (ถือเป็นมาตรการสุดท้ายที่จะทำเพื่อรักษาเอกราชเอาไว้)
นโยบายผ่อนหนักเป็นเบา
1. สนธิสัญญาเบาริง
ข้อเสียเปรียบอย่างยิ่งของไทยจากสนธิสัญญาเบาริง
สนธิสัญญาเบาริงเป็นสนธิสัญญาที่ไทยเสียเปรียบในทุกๆด้านในบรรดาความเสียเปรียบเหล่านั้นมีความเสียเปรียบที่ยิ่งใหญ่ 2 ประการ
    1.1  ทำให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษ
สิทธิสภาพนอกอาณาเขต คือ สิทธิที่ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เมื่อคนอังกฤษหรือคนในบังคับอังกฤษ (ประเทศอาณานิคมของอังกฤษ)หรือคนชาติใดๆที่ขอจดทะเบียนเป็นคนในบังคับอังกฤษทำความผิดหรือมีคดีกับคนไทย ในประเทศไทย ให้ไปขึ้นศาลกงสุลอังกฤษ โดยอ้างว่า กฎหมายของไทยป่าเถื่อนและล้าหลัง
1.2 ทำให้อังกฤษเป็นชาติอภิสิทธิ์ คือ อังกฤษเป็นชาติที่มีสิทธิพิเศษ ไม่ว่าไทยจะทำสัญญากับประเทศอื่นใด
ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริง ก็ให้ถือว่าอังกฤษมีสิทธิเช่นเดียวกับชาตินั้นๆ โดยอัตโนมัติ
2. การยอมเสียดินแดน
การยอมเสียดินแดนของไทยเป็นการเสียให้แก่ชาติตะวันตกเพียง 2 ชาติ คือ ฝรั่งเศสและอังกฤษ รวมทั้งสิ้น 6ครั้งส่วนใหญ่เป็นการเสียให้แก่ฝรั่งเศสครั้งแรกเสียไปในตอนปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4 หลังจากนั้นเป็นการเสียดินแดนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5





เสนาบดี มี 12 กระทรวง


1.กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือรวมทั้งเมืองประเทศราชทางเหนือ
2.กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้รวมทั้งเมืองประเทศราชทางใต้
3.กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องการต่างประเทศ
4.กระทรวงวัง มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักและพระราชพิธีต่างๆ ตลอดจนพิจารณาคดีแทนพระมหากษัตริย์
5.กระทรวงเมือง มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับความปลอดภัยในพระนคร ดูแลรักษาบัญชีคนดูแลเกี่ยวกับคุก ดูแลกิจการตำรวจ (ภายหลังเปลี่ยนเป็นกระทรวงนครบาล)
6.กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่ จัดการเรื่องการเพาะปลูก การป่าไม้ เหมืองแร่การค้าขาย และการขุดคลอง รวมทั้งโฉนดที่ดิน ที่เริ่มมีขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 5 นี่เอง
7.กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องภาษีอากร รายรับ-รายจ่ายของแผ่นดิน ตลอดจนรักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน     
8.กระทรวงยุทธนาธิการ มีหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องการทหาร ทั้งทหารบก และทหารเรือ
9.กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการศาสนา การศึกษา การพยาบาลและพิพิธภัณฑ์
10.กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่จัดการเรื่องการก่อสร้างต่างๆ ตลอดจนการไปรษณีย์โทรเลขและการรถไฟ
11.กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดี โดยรวมการพิจารณาพิพากษาคดี ที่กระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆเข้าด้วยกัน
12.กระทรวงมุรธาธิการ มีหน้าที่ดูแลรักษาพระราชลัญจกร ตลอดจนพระราชกำหนดกฎหมายและหนังสือราชการต่างๆ เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ต่อมาได้ยุบกระทรวงยุทธนาธิการไปรวมกับกระทรวงกลาโหมและยุบกระทรวงมุรธาธิการไปรวมกับกระทรวงวังเพื่อความเหมาะสมและรัดกุมมากยิ่งขึ้นและให้กระทรวงกลาโหมทำหน้าที่เกี่ยวกับการทหาร  ทั่วประเทศอย่างเดียว
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  ยาวนานมาก(23ปี)
มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการบริหารงานในกระทรวงมหาดไทยมีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี

มีผลงานด้านการปกครองที่สำคัญคือการจัดตั้งมณฑล 18 มณฑล จังหวัด 71 จังหวัด อันเป็นรากฐานสำคัญในการปกครองและบริหารท้องที่ในปัจจุบันจนได้รับการยกย่องว่าเป็น พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย"



สาเหตุการปรับปรุงการปกครองสมัยรัชกาลที่ 4


1.ทรงได้รับแนวคิดจากชาวตะวันตก ซึ่งพระองค์ได้สัมผัสและทรงคุ้นเคยตั้งแต่ครั้งยังผนวชอยู่
2.เพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าและเป็นพื้นฐานที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไปเพื่อรักษาเอกราชของประเทศชาติให้พื้นจากการครอบครองของประเทศตะวันตกที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศไทยในขณะนั้น

การปรับปรุงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 4


1.ออกประกาศต่างๆ เรียกว่าประกาศรัชกาลที่ 4 เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารระเบียบแบบแผนการปฏิบัติของผู้คนในสังคมอย่างถูกต้อง
2.ปรับปรุงกฎหมาย ทรงตราพระราชกำหนดกฎหมายใหม่และออกประกาศข้อบังคับต่างๆ ถือว่าเป็นกฎหมาเช่นเดียวกันรวมทั้งหมดประมาณ 500 ฉบับ
3.โปรดให้จัดตั้งโรงพิมพ์หลวงขึ้นในพระบรมหาราชวัง มีชื่อเรียกว่า “โรงอักษรพิมพการ” เพื่อใช้พิมพ์ประกาศและกฎหมายต่างๆ เป็นหนังสือแถลงข่าวของทางราชการ เรียกว่า ราชกิจจานุเบกษา
4.ให้ราษฎรมีโอกาสได้ถวายฎีการ้องทุกข์ได้สะดวกพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงระเบียบวิธีการร้องทุกข์ โดยพระองค์จะเสด็จออกมารับฎีการ้องทุกข์ด้วยพระองค์เองทุกวันโกณ ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เดือนละ 4 ครั้ง และโปรดเกล้าฯให้ตุลาการชำระความให้เสร็จโดยเร็วทำให้ราษฎรได้รับความยุติธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
5.ทรงประกาศให้เจ้านายและข้าราชการทำการเลือกตั้งตำแหน่งพระมหาราชครูปุโรหิตาจารย์และตำแหน่งพระมหาราชครูมหิธร อันเป็นตำแหน่งที่ว่างลงแทนที่พระองค์จะทรงแต่งตั้งด้วยพระราชอำนาจของพระองค์เอง นับเป็นก้าวใหม่ของการเลือกตั้งข้าราชการบางตำแหน่ง
6.การปรับปรุงระบบการศาลทรงเปลี่ยนแปลงประเพณีบางอย่างเกี่ยวกับระบบการศาลได้แก่ทรงยกเลิกการพิจารณาคดีแบบจารีตนครบาล เริ่มมีการจัดตั้ง ศาลกงสุลเป็นครั้งแรก
7.ทรงเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาโดยพระองค์ทรงเสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ร่วมกับขุนนางข้าราชการ และทรงปฏิญาณนความซื่อสัตย์ของพระองค์ต่อข้าราชการทั้งปวงด้วย ซึ่งแต่เดิม ขุนนางข้าราชการจะเป็นผู้ ถวาย สัตย์ปฏิญาณแต่เพียงฝ่ายเดียวนับว่าพระองค์ทรงมีความคิดที่ทันสมัยมาก




พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 5


สาเหตุสำคัญในการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
1.ปรับปรุงประเทศให้เจริญก้าวหน้าเพื่อป้องกันการคุกคามของประเทศมหาอำนาจตะวันตก
2.การปกครองแบบเก่า อำนาจการปกครองบ้านเมืองตกอยู่กับขุนนาง ถ้าปฏิรูปการ ปกครองใหม่ จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างแท้จริง
การปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน             
รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเพื่อช่วยในการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
1.การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) สมาชิกสภาประกอบด้วยข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาจำนวน 12 คน ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งมีหน้าที่ ถวายคำปรึกษาในเรื่องเกี่ยวกับราชการแผ่นดินโดยทั่วไปพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ
2.องคมนตรีสภา (สภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์) (Privy Council) สมาชิกประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการระดับต่างๆ จำนวน 49 คน ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาข้อราชการและเสนอความคิดเห็นต่างๆ และมีหน้าที่ช่วยปฏิบัติราชการตามแต่จะมีพระบรมราชโองการ ปัจจุบันคือคณะองค์มนตรี ต่อมาภายหลัง 2 สภาถูกยกเลิกไปเพราะขุนนางไม่พอใจ คิดว่ากษัตริย์จะล้มล้างระบบขุนนางจึงเกิดการต่อต้าน
การปฏิรูปการปกครองส่วนกลางของรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปการปกครองส่วนกลางโดยยกเลิกจตุสดมภ์ และใช้การบริหารงานแบบกระทรวงตามแบบอย่างของตะวันตกโดยจัดรวมกรมต่างๆที่มีลักษณะงานคล้ายๆกันมาเป็นกรมขนาดใหญ่ 12 กรม ต่อมา เปลี่ยนเป็นกระทรวงอยู่ในความดูแลของเสนาบดี มี 12 กระทรวง

การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคของรัชกาลที่ 5


1.ยกเลิกหัวเมือง เอก โท ตรี จัตวา และยกเลิกหัวเมืองประเทศราช จัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล แบ่งเขตการปกครองเป็นมณฑล
   เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทยเป็นการรวมอำนาจตามหัวเมืองเข้าสู่ราชธานี           
    1.1 มณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ดูแล แต่ละมณฑลแบ่งออกเป็น เมือง
    1.2 เมือง มีผู้ว่าราชการเป็นผู้ดูแล แต่ละเมืองแบ่งออกเป็นอำเภอ
    1.3 อำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้ดูแล แต่ละอำเภอแบ่งออกเป็นตำบล
    1.4 ตำบล มีกำนันเป็นผู้ดูแล แต่ละตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน
    1.5 หมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแล

การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นของรัชกาลที่ 5


1.ทรงริเริ่มให้สิทธิแก่ราษฎรในการเลือกผู้ปกครองตนเองเป็นครั้งแรกโปรดเกล้าฯให้มีการทดลองเลือกตั้ง “ผู้ใหญ่บ้านที่บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแทนการแต่งตั้งโดยเจ้าเมือง ต่อมาใน พ.ศ.2440 ทรงออกพระราชบัญญัติการปกครองท้องที่ ร.ศ.116   กำหนดการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านกำนันโดยอาศัยเสียงข้างมากของราษฎร
2.โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกและสุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกที่ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีคณะกรรมการประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่บริหารงานสุขาภิบาล มีรายได้จากภาษีโรงเรือนในท้องถิ่น



การปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 6


1.การจัดตั้ง ดุสิตธานี เพื่อทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยโปรดฯให้สร้างนครจำลองขึ้น
   พระราชทานนามว่า ดุสิตธานี เดิมตั้งอยู่ที่พระราชวังดุสิต ต่อมาย้ายไปอยู่ที่พระราชวังพญาไท
   (บริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯในปัจจุบัน) ภายในดุสิตธานีมีสิ่งสมมุติ หรือ
   แบบจำลองต่างๆ เช่น ที่ทำการรัฐบาล วัดวาอาราม อาคารบ้านเรือน ถนน สาธารณูปโภค สถานที่ราชการ ฯลฯ
   โปรดฯ ให้มีการบริหารงานในดุสิตธานี โดยวิธีการเลือกตั้งตามแบบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งในระบบพรรคการเมือง
   พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมาก เป็นผู้จัดตั้งคณะผู้บริหารดุสิตธานี เรียกว่า นคราภิบาล
   ลักษณะการบริหารงานในดุสิตธานี เป็นการจำลองการบริหารงานแบบเทศบาล ของประเทศตะวันตก

การปรับปรุงการปกครองส่วนกลางของรัชกาล 6


   1.โปรดให้จัดตั้งกระทรวงใหม่ คือ กระทรวงมุรธาธิการ (ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกไป) กระทรวงทหารเรือ กระทรวงพาณิชย์
   2.ทรงยกเลิกกระทรวงนครบาล รวมเข้ากับกระทรวงมหาดไทย

   3.ทรงให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงโยธาธิการ เป็นกระทรวงคมนาคม




พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ ยุคปฏิรูปบ้านเมืองรัชกาลที่ 7



พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 7

1.ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีสภา เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน มีสมาชิกประกอบด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง 5 พระองค์

2.ทรงแต่งตั้งองคมนตรีสภามีหน้าที่พิจารณาถวายความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่ออกใหม่และการบริหารราชการด้านต่างๆ

3.ทรงแต่งตั้งเสนาบดีสภา มีหน้าที่ในการถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์ หรือปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายงานในหน้าที่ของกระทรวง สมาชิกเสนาบดีสภาประกอบด้วย เสนาบดีบังคับบัญชากระทรวงต่างๆ

การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนกลาง



การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2475-2461) ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก รัฐบาลจึงมีนโยบายลดหน่วยราชการ จึงรวมกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงพาณิชย์ เข้าด้วยกัน เรียกชื่อว่า กระทรวงพาณิชย์และการคมนาคม

การเผยแพร่ประชาธิปไตย เป็น 3 วิธี คือ

    1.  ทรงตั้งดุสิตธานี เมืองจำลองประชาธิปไตย ดุสิตธานีเป็นเมืองจำลองหรือเมืองตุ๊กตา

โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ.2461 บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ในพระราชวังดุสิต (ภายหลังย้ายไปวังพญาไท) มีถนน อาคารสถานที่ราชการ

ร้านค้าและบ้านเรือนเหมือนเมืองจริงๆ แต่ย่อส่วนให้เล็กลงพอเดินดูเห็นได้หมดทั้งเมืองแล้วสมมุติให้ข้าราชการบริพาร ขุนนาง มหาดเล็กของพระองค์เป็นราษฎรของเมืองนี้ จัดให้มีการเลือกตั้ง สภานคราภิบาลทำหน้าที่ปกครองเมืองมีการออกกฎหมายจัดระบบภาษีอากร ระบบการรักษาพยาบาล และกระบวนการต่างๆ

ของเมืองประชาธิปไตยมีการเรียกประชุมราษฎรสมมุติเหล่านั้นมาร่วมกันเลือกตั้งและแก้ไขเพิ่มเติมธรรมนูญของดุสิตธานี มีการอภิปรายถกเถียงกันระหว่างคณะนคราภิบาลกับฝ่ายค้านเพื่อเป็นแบบอย่างให้คนทั้งหลายได้เห็นและคุ้นเคยกับ

กระบวนการประชาธิปไตยเป็นการสอนหลักประชาธิปไตยแก่ประชาชนแต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดการเล่นละครอยู่แล้วคนทั่วไปจึงพากันเข้าใจว่าดุสิตธานีเป็นการเล่นละครอย่างหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้ผลในทางปลูกฝังประชาธิปไตยมากนัก

    2.  ทรงเขียนบทความหนังสือพิมพ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ นอกจากจะทรงมีพระปรีชาสามารถในทางพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองแล้ว ยังทรงเขียนบทความทางการเมืองตอบโต้กับคนหัวใหม่สามัญชน แม้พระองค์จะทรงใช้พระนามแฝงแต่คนทั่วไป

ก็ทราบดีว่าผู้เขียน คือ พระองค์นับเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในหมู่พสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์มิได้ถือพระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยเป็นนักประชาธิปไตยเป็นอีกก้าวหนึ่งในการปูพื้นฐานประชาธิปไตยของพระองค์

    3.  พระราชทานอภัยโทษ กบฏ ร.ศ.130 กลุ่มผู้ก่อการกบฏ ร.ศ.130 ส่วนใหญ่เป็น

นายทหารหนุ่มซึ่งมีแนวคิดสมัยใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงไม่พอใจวิธีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องการให้มีการปกครอง

แบบประชาธิปไตยโดยเร็ว จึงร่วมกันคบคิด แต่ความลับรั่วไหลเสียก่อนถูกจับได้ทั้งหมดจึงถูกจำคุกบ้าง รอการลงอาญาบ้าน แต่ภายหลังก็ทรงพระราชทางอภัยโทษให้ทั้งหมด อีกทั้งยังแจกกางเกง ผ้าขาวม้า และเงิน 100 สตางค์ให้ทุกคนอีกด้วย การพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้อาจนับได้ว่าพระองค์ทรงเล็งเห็นความปรารถนาดีของกลุ่มก่อการกบฏ ที่ต้องการให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศจึงไม่ทรงเอาโทษจัดเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอีกอย่างหนึ่งของพระองค์



การเปลี่ยนแปลงการปกครอง



1.เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินทุกคนเท่าเทียมกัน)

2.ผู้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ คณะราษฎรประกอบด้วยทหารบกทหารเรือและพลเรือนนำโดย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาหัวหน้าฝ่ายทหารคือ จอมพลแปลก(ป)  พิบูลสงคราม หัวหน้าฝ่ายพลเรือน คือนายปรีดี  พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์  มนูธรรม)เข้าทำการยึดอำนาจและส่งผู้แทน

เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่7 ซึ่งพระองค์ก็ทรงยอมรับข้อเสนอของคณะราษฎรและพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ซึ่งประเทศไทยถือวันนี้ของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญ

3.วันที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475

4.พระมหากษัตริย์องค์แรกของการปกครองแบบประชาธิปไตย และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ คือ รัชกาลที่ 7

5.นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยคือพระยามโนปกรณ์นิติธาดาสาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.2475

นอกจากสาเหตุดั้งเดิมได้กล่าวมาแล้วยังเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ดังจะกล่าวต่อไปนี้

การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ในยุคปัจจุบัน


เหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงพ. 2540 
เกิดเหตุการณ์วกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเกิดมาจากหลายส่วนทั้งในตลาดเงินทุนตลาดหุ้นและตลาดสินค้า และบริการ การลงทุนเกินตัว และยังเกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่อีก
    การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ปัญหาหนี้ต่างประเทศ การเปิดเสรีทางการเงินเมื่อปี 2532-37 การลงทุนเกินตัว และฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถาบันการเงินปลายปี 2539 ความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายการโจมตีค่าเงินบาท

เหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงพ. 2549


การประท้วงขับทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง ประเด็นในการขับ
การชุมนุมต่อต้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของทักษิณ ชินวัตร โดยกลุ่ม สนนท.
การต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งนายแก้วสรร อติโพธิ ได้ให้คำจำกัดความไว้ 4 ข้อ ดังนี้
หลงใหลทุนนิยมใหม่จนลืมประเทศชาติโกงกินชาติบ้านเมืองการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 
โดยเฉพาะการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สำหรับกรณีของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เช่น เรื่องการกระจายหุ้นที่ไม่เป็นธรรม ราคาขายหุ้นที่ต่ำกว่าความเป็นจริง สัดส่วนการถือหุ้นของรัฐที่ลดลง การถือหุ้นผ่านกองทุนของต่างชาติ กำไรจากการขายก๊าซให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนั้นมีคำสั่งจากศาลปกครองว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548 ไม่ชอบด้วยกฎหมายการแก้สัมปทานสถานีโทรทัศน์ไอทีวีการทุจริตในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิโดยเฉพาะเรื่องเครื่องสแกนสัมภาระซีทีเอกซ์การใช้อำนาจรัฐแทรกแซงและคุกคามสื่อประเด็นที่กลุ่มเครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณใช้อ้างเป็นเหตุผลในการขับผลประโยชน์ทับซ้อน ทำผิดจริยธรรม รวยเพราะผูกขาดกีดกัน
เอฟทีเอแลกผลประโยชน์ สถานการณ์ความไม่สงบสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้แปรรูปผิด ไม่รับผิด

เหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงพ. 2553


การชุมนุมที่แยกราชประสงค์ พ.ศ. 2553
การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553 มีเป้าหมายเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ ต่อมา รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารเข้ากดดันกลุ่มผู้ชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 2,100 คน จากนั้น อภิสิทธิ์ประกาศแผนปรองดอง ซึ่งผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติม การชุมนุมจึงดำเนินต่อไปและอภิสิทธิ์ก็ประกาศยกเลิกวันเลือกตั้งใหม่ตามแผนปรองดอง ก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม จนกระทั่งแกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2552 เนื่องจากผู้ชุมนุมมีข้อสงสัยว่ากองทัพไทยอยู่เบื้องหลังการยุบพรรคพลังประชาชนพร้อมทั้งจัดตั้งรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ในปีต่อมานปช.ประกาศจะเริ่มการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553 อภิสิทธิ์จึงเพิ่มมาตรการรักษาความมั่นคงอย่างมากรวมทั้งเข้มงวดกับการตรวจพิจารณาสื่อมวลชนและอินเทอร์เน็ตตลอดจนสั่งปิดสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุที่ดำเนินงานโดยกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่สามารถยับยั้งกลุ่มผู้ชุมนุมมิให้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพมหานครได้ผู้ชุมนุมส่วนมากเดินทางมาจากต่างจังหวัด แต่ก็มีชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งเข้าร่วมการชุมนุมเช่นกั การชุมนุมเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ถือเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด


เหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงพ. 2554


การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้กลับมาชุมนุมอีกครั้งบริเวณสะพานมัฆวานและหน้าทำเนียบรัฐบาล เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554จากกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยในครั้งแรกจะให้เริ่มการชุมนุมวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553 แต่ได้เลื่อนมาโดยเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามมติของกลุ่มพันธมิตรฯ 3 ข้อ คือ
1.ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 หรือที่เรียกกันว่า MOU43
2.ผลักดันชาวกัมพูชาที่อพยพและรุกล้ำเข้ามาอาศัยและสร้างสิ่งก่อสร้างในเขตแดนไทย
3.ให้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกแต่ทว่ารัฐบาลก็มิได้มีท่าทีสนองตอบและได้ออกพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาใช้รักษาความปลอดภัย


รายการเหตุการณ์ทางการเมือง


รัฐประหารและกบฏ
กบฏ ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2455) โดย คณะ 130 นำโดย ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์)
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 โดย คณะราษฎร เพื่อให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
รัฐประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
กบฏบวรเดช 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 โดย คณะกู้บ้านกู้เมือง มี พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นหัวหน้า
กบฏนายสิบ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2478 โดย สิบเอกสวัสดิ์ มะหะมัด เป็นหัวหน้า
กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือ กบฏ 18 ศพ หรือ กบฏ พ.ศ. 2481 (29 มกราคม พ.ศ. 2482) มี พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เป็นหัวหน้า
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
กบฏเสนาธิการ หรือ กบฏนายพล หรือ กบฏ 1 ตุลาคม (1 ตุลาคม พ.ศ. 2491) โดย พลตรีหลวงศรานุชิต (สมบูรณ์ ศรานุชิต) และพลตรีเนตร เขมะโยธิน เป็นหัวหน้า
กบฏวังหลวง (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492) โดย นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า
กบฏแมนฮัตตัน หรือ กบฏทหารเรือ (29 มิถุนายน พ.ศ. 2494) โดย นาวาเอกอานน บุญฑริกธาดา และ นาวาตรีมนัส จารุภา
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
กบฏสันติภาพ พ.ศ. 2495 (ไม่มีผู้เสียชีวิต)
รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 นำโดย พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

การชุมนุมทางการเมือง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือ "วันมหาวิปโยค" (มีผู้เสียชีวิต 77 ราย บาดเจ็บ 857 ราย และสูญหายอีกจำนวนมาก)
เหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 (มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 41 ศพ บาดเจ็บและสูญหายอีกจำนวนมาก)
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 (พลเอกสุจินดาแถลงว่ามีผู้เสียชีวิต 40 คน บาดเจ็บ 600 คน)
การประท้วงขับทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง พ.ศ. 2547-2549
การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 (ผู้เสียชีวิต 8 ศพ บาดเจ็บ 381 คน)
เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 (ผู้เสียชีวิต 2 ศพ บาดเจ็บ 120 คน)
การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 (ผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,100 คน)

สถาบันการเมืองกับทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่


ตัวแทนของแนวความคิดที่มองระบบในแง่ของโครงสร้างและหน้าที่ ได้แก่
เกเบรียล อัลมอนด์ ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่ ของเขาไม่แตกต่างอะไรไปจากทฤษฎีระบบของอีสตัน กล่าวคือยังมองการทำงานของระบบการเมืองในแง่ของสิ่งที่เข้าไปในระบบกับสิ่งที่ออกมา”(Inputs-Outputs) แต่อัลมอนด์ให้ความสำคัญกับหน้าที่และภารกิจของระบบการเมืองมากกว่าอีสตัน โดยเขาเห็นว่าหน้าที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้างในระบบการเมืองหนึ่ง (จุดนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างอัลมอนด์กับเฟรด ริกส์ ) การให้ความสำคัญในหน้าที่มากกว่าโครงสร้าง ทำให้อัลมอนด์เรียกวิธีการศึกษาของเขาว่า“The functional approach to comparative political” 
อัลมอนด์มีความคิดเห็นว่า หน้าที่ที่สำคัญของการเมืองหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยกลุ่มใหญ่ ๆ และเวลาศึกษาเปรียบเทียบระบบการเมืองนั้นก็จะเปรียบเทียบหน้าที่หลัก 3 กลุ่มนี้

1. ระดับระบบ (system function) มีหน้าที่
1.1 กล่อมเกลาคนในระบบการเมือง (socialization)ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ ได้แก่ โรงเรียน ครอบครัว สื่อ องค์กรทางสังคม 
1.2 การเลือกสรรทางการเมือง (recruitment function) มีหน้าที่คัดสรรคนเก่ง คนดี เข้าสู่การเมือง ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ได้แก่ พรรคการเมือง 
1.3 การสื่อสารทางการเมือง (communication) มีหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสาร รายงานสถานการณ์ ความเห็นทางการเมือง ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ได้แก่ สื่อสารมวลชน 

2. ระดับกระบวนการ (process function) หน้าที่ซึ่งจำเป็นสำหรับการกำหนดและปฏิบัตินโยบายในการเมือง มี 4 หน้าที่ คือ 
2.1 การเรียกร้องผลประโยชน์ (interest articulation) 
2.2 การรวบรวมผลประโยชน์ (interest aggregation) เป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง 
2.3 กำหนดนโยบาย (policy marking) เป็นหน้าที่ของรัฐบาล 
2.4 การนำโยบายไปปฏิบัติและตัดสิน (policy implementation and adjudication) เป็นหน้าที่ของระบบราชการและศาลตุลาการ   

3. ระดับนโยบาย (policy function) 
3.1 Extraction การดึงเอาทรัพยากรออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่
3.2 Regulation คือการควบคุม 

3.3 distribution คือการแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

**************************************************************************************




แหล่งที่มาและอ้างอิง
-สถาบันทางการเมืองการปกครอง
www.nucha.chs.ac.th
www.bp-smakom.org
-การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ. 2475
-รายการเหตุการณ์ทางการเมือง
www.th.wikipedia.org
-วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2554
www.thaicafe.blogspot.com
-การชุมนุมที่ราชประสงค์
-กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลง
www.joshhahaha23.wordpress.com
-แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
www.kanmoung.blogspot.com